ตำนาน Roadster พันธุ์แท้ของ BMW เริ่มต้นมาตั้งแต่ยุค 30 กับ BMW 315/1 โรดสเตอร์ยุคก่อนสงครามโลกทรงคลาสสิก จนมาถึง BMW 507 ที่ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นผลงานชิ้นเอกด้านการออกแบบ ผ่านมาถึง BMW Z โรดสเตอร์ยุคใหม่ที่โฉบเเฉี่ยว โดยเฉพาะ BMW Z3 รถที่ขับโดยสายลับ 007 ในภาพยนตร์เรื่อง "GoldenEye” จนมาถึง BMW Z4 ที่ปรับโฉมมาถึงสามเจเนอเรชั่นแล้ว เราจะพาคุณไปเจาะประวัติศาสตร์ ผ่านโรดสเตอร์จาก BMW แต่ละยุคที่ผสมผสานระหว่างความสง่างาม สมรรถนะสืบสานมรดกของ BMW ในฐานะผู้ผลิตรถโรดสเตอร์ที่ยอดเยี่ยม
BMW 315/1 Roadster (1934–1936)
ผลิตเพียง 242 คัน ด้วยด้านหลังห้องเครื่องที่ยาวและโฉบเฉี่ยวมีเบาะนั่งแบบสปอร์ต 2 ที่นั่งที่ติดตั้งกระจกบังลมที่ลาดต่ำและหลังคาผ้าใบ เครื่องยนต์ 6 สูบ 1.5 ลิตร 40 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 4 สปีด แต่สามารถวิ่งได้เร็วถึง 120 กม./ชม. และยังมี BMW 315/1 ที่ Ralph Roese ใช้ลงแข่งและคว้ามแชมป์ที่สนามเนือร์บูร์กริงหลายครั้งด้วยตัวถังน้ำหนักเพียง 380 กิโลกรัม และเพิ่มกำลังเครื่องยนต์เป็น 136 แรงม้า
BMW 328 (1937–1939)
BMW 328 โรดสเตอร์ที่มีเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดแห่งทศวรรษที่ 30 เครื่องยนต์หกสูบแถวเรียงขนาด 2.0 ลิตร พละกำลัง 80 แรงม้า ตัวถังอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา และด้วยการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างกำลังเครื่องยนต์ที่เหนือกว่ากับเทคโนโลยีระบบกันสะเทือนปีกนกคู่ และเบรกแรงดันไฮโดรลิกที่ล้ำหน้าของ BMW ทำให้มันวิ่งได้เร็วถึง 155 กม./ชม. และผลิตเพียง 464 คัน
BMW 507 (1956-1959)
BMW 507 เป็นรถโรดสเตอร์สองที่นั่งที่น่าทึ่ง ซึ่งออกแบบโดย Count Albrecht Graf von Goertz มีเส้นสายที่สง่างาม ฝากระโปรงยาว และส่วนท้ายสั้น 507 มีกระจังหน้ารูปไตคู่ที่โดดเด่นและช่องระบายอากาศด้านข้าง ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.2 ลิตร สร้างแรงม้าสูงสุดได้ 155 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 201 กม./ชม. เคยเป็นรถคันโปรดของราชาร็อคแอนด์โรล เอลวิส เพรสลีย์ สมัยที่ยังเป็นนาวิกโยธินประจำการในเยอรมัน BMW 507 ถือเป็นตัวอย่างการออกแบบยานยนต์ที่คลาสสิกและเป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างมากในปัจจุบัน และแนวทางการออกแบบยังถูกนำมาใช้ใน BMW Z8 Roadster อีกด้วย
BMW Z1 Roadster (1989-1991)
BMW Z1 เป็นรถเปิดประทุนที่ไม่เหมือนใครพร้อมคุณสมบัติที่เป็นนวัตกรรมใหม่โดยใช้แพลตฟอร์ม E30 3 Series ออกแบบโดยUlrich Bez และ Harm Lagaay สองนักออกแบบจาก BMW Technik GmbH ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ BMW ตัวรถมีประตูยืดหดได้ในแนวตั้งที่เลื่อนลงไปในตัวรถ มอบประสบการณ์เปิดโล่งแม้ปิดประตู มีแผงตัวถังที่สามารถถอดและเปลี่ยนได้ง่าย การออกแบบค่อนข้างเป็นเหลี่ยมมุมด้วยเส้นสายที่สะอาดตา มีความโดดเด่นในด้านโครงสร้างน้ำหนักเบาและการควบคุมที่คล่องตัว ผลิตเพียง 8,000 คันทั่วโลก
BMW Z3 (1995-2002)
BMW Z3 ถือเป็นการเข้าสู่ตลาดรถโรดสเตอร์กระแสหลักของแบรนด์ และเป็นรถบีเอ็มดับเบิลยูคันแรกที่ถูกสร้างขึ้นนอกประเทศเยอรมนีทั้งหมด ดีไซน์ต่างๆ จึงปรับให้ถูกใจคนอเมริกัน มีการออกแบบแบบด้วยรูปทรงโค้งมนและรูปทรงของรถโรดสเตอร์สุดคลาสสิก Z3 ได้รับความนิยมอย่างมากหลังจากแสดงในภาพยนตร์เรื่อง James Bond เรื่อง GoldenEye หลังจากเข้าฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็มีมียอดขายมากกว่า 15,000 คัน BMW Z3 ถือเป็นโรดสเตอร์ที่อยู่ในสายการผลิตนาน มันจึงมีการไมเนอร์เชนจ์ปรับเพิ่มในหลายจุดรวมทั้งเครื่องยนต์ที่มีตั้งแต่ความจุ 1.8–3.2 ลิตร โดยในรุ่นท้ายได้วางเครื่องยนต์ S54จากBMW M3 ( E46 ) ที่มีพละกำลังถึง 325 แรงม้า
BMW Z8 (2000-2003)
BMW Z8 ออกแบบโดย Henrik Fisker ชาวเดนมาร์ก ที่DesignworksUSA ของ BMW ออกแบบเพื่อเฉลิมฉลองให้กับ 507 Roadster ยุคเรโทรพร้อมเส้นสายที่ปราดเปรียวและฝากระโปรงยาว Z8 โดดเด่นด้วยกระจังหน้าโครเมียมที่โดดเด่น ไฟหน้าทรงกลม และบังโคลนหลังที่ดูบึกบึน การตกแต่งภายในหรูหรา ผสมผสานองค์ประกอบคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ Z8 กลายเป็นรถคลาสสิกในทันทีและได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านการออกแบบที่ไร้กาลเวลา ผลิตออกมาทั้งงหมด 5,700 คัน
BMW Z4 (2002-ปัจจุบัน)
BMW Z4 ถือเป็นโรดสเตอร์ที่ประสบความสำเร็จมากทางการตลาด ผ่านการปรับโฉมถึง 3 เจเนอเรชั่นตั้งแต่เปิดตัว BMW Z4 รุ่นแรกเป็นที่รู้จักกันในรหัส E85 ตามมาด้วย Z4 รหัส E89 ที่ปรับโฉมในปี 2009 ก่อนจะมาปรับใหม่หมดอีกครั้งกับรหัส G29 และเปิดตัวที่ Pebble Beach Concours d'Elegance เมื่อสิงหาคม 2018 ด้วยภาษาการออกแบบที่มีไดนามิกมากขึ้น โดดเด่นด้วยกระจังหน้าไตคู่ขนาดใหญ่ขึ้น รอยพับที่เฉียบคม และตัวรถที่แบนราบกว้างขึ้นดูสปอร์ตภูมิฐาน นอกจากนั้นยังนำหลังคาผ้าใบกลับมาใช้แทนหลังคาแข็งในโมเดลก่อนหน้า ที่เพียงกดปุ่ม ระบบจะเปิดและปิดหลังคาด้วยระบบไฟฟ้าภายในเวลาประมาณสิบวินาที
BMW Z4 ใหม่มีช่องระบายอากาศถูกจัดวางไว้ด้านหลังซุ้มล้อหน้าร่วมกับม่านอากาศในสเกิร์ตด้านหน้า เบาะนั่ง M Sport ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon พร้อมลำโพง 12 จุด การขับขี่สนุกด้วยเฟืองท้าย M sport ระบบเบรก M Sport และระบบกันสะเทือนแบบ Adaptive M ที่สามารถปรับได้ตลอดเวลาด้วยระบบไฟฟ้าเพื่อให้เหมาะกับถนนและสภาพในการขับ
BMW Z4 sDrive30i M Sport มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาดความจุ 2.0 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้พละกำลังสูงสุด 258 แรงม้า และเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ได้ใน 5.4 วินาที ส่วนในรุ่น BMW Z4 M40i เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 6 สูบ ขนาด 3.0 ลิตร ได้พละกำลังเพิ่มเป็น 340 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง และทุกรุ่นมาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่แบบเดียวกับที่อยู่ใน BMW Luxury รุ่นท๊อปๆ
Powered by Froala Editor